ศตวรรษแห่งจักรวรรดิของบริเตน (1815–1914) ของ จักรวรรดิบริติช

จักรวรรดิบริติชในปี ค.ศ. 1897 อาณานิคมของจักรวรรดิบริติชแสดงด้วยสีแดง

ระหว่าง ค.ศ. 1815 และ ค.ศ. 1914 เป็นช่วงที่นักประวัติศาสตร์บางส่วนเรียกว่า "ศตวรรษแห่งจักรวรรดิ" ของบริเตน[96][97] โดยพื้นที่ราว 26,000,000 ตารางกิโลเมตร และประชากรราว 400 ล้านคนเพิ่มเข้าจักรวรรดิบริติช[98] ชัยชนะเหนือนโปเลียนทำให้บริเตนไม่มีคู่แข่งในระดับนานาชาติที่สำคัญ นอกจากรัสเซียในเอเชียกลาง[99] บริเตนไร้ผู้คัดค้านในทะเล และรับดำเนินบทบาทของตำรวจโลก เป็นสภาพซึ่งต่อมาเรียกว่า สันติภาพบริเตน[8] และนโยบายต่างประเทศ "การโดดเดี่ยวอย่างสง่างาม"[100] พร้อม ๆ กับความพยายามใช้การควบคุมอย่างเป็นทางหารเหนืออาณานิคมของตน ฐานะของบริเตนซึ่งครอบงำการค้าโลกอยู่นั้น หมายความว่า บริเตนสามารถควบคุมเศรษฐกิจของหลายประเทศได้ชะงัด อาทิ จีน อาร์เจนตินา และสยาม ซึ่งเป็นลักษณะที่นักประวัติศาสตร์เรียกว่า "จักรวรรดิไม่เป็นทางการ"[101][102]

ความแข็งแกร่งของจักรวรรดิบริติชได้รับการส่งเสริมจากเรือไอน้ำและโทรเลข เทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งถูกคิดค้นขึ้นในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19 ทำให้จักรวรรดิบริติชสามารถควบคุมและป้องกันจักรวรรดิได้ ใน ค.ศ. 1902 จักรวรรดิบริติชเชื่อมโยงเข้าด้วยกันโดยสายโทรเลข ซึ่งเรียกว่า "ออลเรดไลน์"[103]

บริษัทอินเดียตะวันออกในอินเดีย

ดูบทความหลักที่: บริติชราช
การ์ตูนการเมืองในปี ค.ศ. 1876 ของเบนจามิน ดิสราเอลี เป็นภาพพระราชินีวิกตอเรีย ทรงได้รับพระอิสริยยศจักรพรรดินีแห่งอินเดีย คำอธิบายใต้ภาพเขีนยว่า "มงกุฎใหม่สำหรับกษัตริย์องค์เก่า!"

บริษัทอินเดียตะวันออกขับเคลื่อนการขยายของจักรวรรดิบริติชในทวีปเอเชีย กองทัพของบริษัทเข้าร่วมกับราชนาวีระหว่างสงครามเจ็ดปีก่อน และทั้งสองกองทัพยังร่วมมือในสมรภูมิอื่นนอกเหนือจากอินเดีย ได้แก่ การขับไล่นโปเลียนออกจากอียิปต์ (ค.ศ. 1799) การยึดเกาะชวาจากเนเธอร์แลนด์ (ค.ศ. 1811) การเข้าควบคุมสิงคโปร์ (ค.ศ. 1819) และมะละกา (ค.ศ. 1824) และการพิชิตพม่า (ค.ศ. 1826)[99]

จากฐานของบริษัทในอินเดีย บริษัทยังค้าส่งออกฝิ่นอันสร้างรายได้เพิ่มขึ้นไปจีนนับแต่คริสต์ทศวรรษ 1930 การค้าดังกล่าว ซึ่งราชวงศ์ชิงประกาศให้มิชอบด้วยกฎหมายใน ค.ศ. 1729 ช่วยพลิกการขาดดุลการค้าอันเป็นผลมาจากการนำเข้าชาของบริเตน โดยมีการไหลออกจากเงินจากบริเตนไปจีนเป็นอันมาก[104] ใน ค.ศ. 1839 การริบฝิ่นกว่า 20,000 ลังที่กวางตุ้งโดยทางการจีน ทำให้บริเตนโจมตีจีนในสงครามฝิ่นครั้งที่หนึ่ง และนำไปสู่การยึดเกาะฮ่องกงของบริเตน ซึ่งในเวลานั้นยังเป็นนิคมขนาดเล็ก[105]

ระหว่างปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 พระมหากษัตริย์บริติชเริ่มเข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้นในกิจการของบริษัท มีการผ่านพระราชบัญญัติหลายฉบับซึ่งรวมพระราชบัญญัติวางระเบียบ ค.ศ. 1773 พระราชบัญญัติอินเดียของพิตต์ ค.ศ. 1784 และพระราชบัญญัติพระบรมราชานุญาต ค.ศ. 1813 ซึ่งวางระเบียบกิจการของบริษัทและสถาปนาอำนาจอธิปไตยของพระมหากษัตริย์เหนือดินแดนที่บริษัทได้[106] การกบฏอินเดียนำมาซึ่งการสิ้นสุดของบริษัทในท้ายสุด การกบฏอินเดียเป็นความขัดแย้งซึ่งเริ่มจากการก่อการกำเริบของซีปอย ทหารอินเดียซึ่งอยู่ภายใต้นายทหารและระเบียบวินัยของบริเตน[107] การกบฏใช้เวลาปราบปรามหกเดือนโดยทั้งสองฝ่ายเสียเลือดเนื้ออย่างหนัก ปีต่อมา รัฐบาลบริติชยุบบริษัทและเข้าควบคุมอินเดียโดยตรงผ่านพระราชบัญญัติรัฐบาลอินเดีย ค.ศ. 1858 สถาปนาบริติชราช ซึ่งข้าหลวงใหญ่ที่ได้รับแต่งตั้งปกครองอินเดียและพระราชินีนาถวิกตอเรียราชาภิเษกเป็นจักรพรรดินีอินเดีย[108] อินเดียกลายเป็นการครอบครองทรงคุณค่าที่สุดของจักรวรรดิ "เพชรพลอยในมงกุฎ" และเป็นบ่อเกิดความแข็งแกร่งของบริเตนที่สำคัญที่สุด[109]

เหตุพืชผลล่มจมร้ายแรงในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 นำสู่ทุพภิกขภัยกว้างขวางในอนุทวีปอินเดียซึ่งมีการประมาณว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 15 ล้านคน บริษัทอินเดียตะวันออกไม่สามารถนำนโยบายประสานงานไปปฏิบัติเพื่อรับมือกับทุพภิกขภัยได้เลยระหว่างสมัยการปกครอง ต่อมา ภายใต้การปกครองของบริเตนโดยตรง มีการตั้งคณะกรรมการหลังทุพภิกขภัยแต่ละครั้งเพื่อสืบสวนสาเหตุและนำนโยบายใหม่ไปปฏิบัติ ซึ่งใช้เวลาจนต้นคริสต์ทศวรรษ 1900 จึงมีผล[110]

การแข่งขันกับรัสเซีย

ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 19 บริเตนและรัสเซียแข่งกันเพื่อเติมเต็มสุญญากาศแห่งอำนาจหลังจากการเสื่อมถอยของจักรวรรดิออตโตมัน ราชวงศ์กอญัร และราชวงศ์ชิง ความขัดแย้งในยูเรเชียนี้ได้ชื่อว่า "เกมใหญ่"[111] เท่าที่บริเตนเกรง ความปราชัยของเปอร์เซียและตุรกีต่อรัสเซียแสดงความทะเยอทะยานและขีดความสามารถของจักรวรรดิ และสร้างความกลัวในบริเตนว่าจะมีการบุกครองอินเดียทางบก[112] ใน ค.ศ. 1839 บริเตนชิงตัดหน้าโดยการบุกครองอัฟกานิสถาน แต่สงครามอังกฤษ-อัฟกานิสถานครั้งที่หนึ่งเป็นหายนะสำหรับบริเตน[113]

เมื่อรัสเซียบุกครองบอลข่านของตุรกีใน ค.ศ. 1853 ความกลัวภาวะครอบงำของรัสเซียในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและตะวันออกกลาง ทำให้บริเตนและฝรั่งเศสร่วมกันบุกครองคาบสมุทรไครเมียเพื่อทำลายขีดความสามารถของกองทัพเรือรัสเซีย[113] สงครามไครเมีย (ค.ศ. 1854–1856) ที่เกิดให้หลังซึ่งเกี่ยวข้องกับการสงครามสมัยใหม่[114] และเป็นสงครามระดับโลกครั้งเดียวระหว่างบริเตนและเจ้าจักรวรรดิอื่นระหว่างสันติภาพบริเตน ยุติลงด้วยความปราชัยครั้งใหญ่ของรัสเซีย[113] สถานการณ์ในเอเชียกลางนี้ยังไม่ยุติไปอีกสองทศวรรษ โดยบริเตนผนวกบาลูจิสถานใน ค.ศ. 1876 และรัสเซียผนวกคีร์กีซเทีย คาซัคสถาน และเติร์กเมนิสถาน ชั่วขณะหนึ่งดูเหมือนว่าจะเลี่ยงสงครามอีกหนหนึ่งไม่ได้นั้น แต่สองประเทศบรรลุความตกลงเรื่องเขตอิทธิพลของสองประเทศในภูมิภาคใน ค.ศ. 1878 และประเด็นที่ค้างอยู่ทั้งหมดใน ค.ศ. 1907 โดยการลงนามความตกลงอังกฤษ-รัสเซีย[115] การทำลายกองทัพเรือรัสเซียโดยญี่ปุ่นที่ยุทธนาวีที่พอร์ตอาเธอร์ระหว่างสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1904-1905 ยังจำกัดภัยคุกคามของกองทัพเรือรัสเซียต่อบริเตน[116]

จากแหลมถึงไคโร

เดอะโรดส์โคลอสซัสเซซิล โรดส์กางแขน "จากแหลมถึงไคโร"

บริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ตั้งอาณานิคมเคป ณ ปลายใต้สุดของทวีปแอฟริกาใน ค.ศ. 1652 เป็นสถานีทางผ่านสำหรับเรือดัตช์ในการเดินทางไปและกลับจากอาณานิคมในอินเดียตะวันออก บริเตนได้อาณานิคมดังกล่าวอย่างเป็นทางการรวมทั้งประชากรแอฟริกันเนอร์ (หรือชาวบัวร์) ขนาดใหญ่ใน ค.ศ. 1806 หลังจากยึดครองมาตั้งแต่ ค.ศ. 1795 เพื่อป้องกันมิให้อาณานิคมแห่งนี้ตกอยู่ในมือฝรั่งเศส หลังจากการบุกครองเนเธอร์แลนด์ของฝรั่งเศส[117] การเข้าเมืองของชาวบริติชเริ่มเพิ่มขึ้นหลังจาก ค.ศ. 1820 และผลักดันชาวบัวร์นับพันซึ่งไม่พอใจกับการปกครองของอังกฤษขึ้นไปทางเหนือเพื่อก่อตั้งสาธารณรัฐอิสระปกครองตนเองในช่วงเกรตเทร็ก ปลายคริสต์ทศวรรษ 1830 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1840[118] ระหว่างนั้น วูเทรกเกอส์ปะทะกับชาวบริติชบ่อยครั้ง ซึ่งมีแรงจูงใจของตนเกี่ยวกับการขยายอาณานิคมในแอฟริกาใต้และต่อองค์กรการเมืองแอฟริกาหลายแห่ง รวมถึงชาติโซโทและซูลู สุดท้ายชาวโบร์สถาปนาสาธารณรัฐสองแห่งที่มีอายุยืนยาวกว่าแห่งอื่น ๆ ได้แก่ สาธารณรัฐแอฟริกาใต้หรือสาธารณรัฐทรานส์วัลล์ (ค.ศ. 1852–1877; 1881–1902) และเสรีรัฐออเรนจ์ (ค.ศ. 1854–1902)[119] ใน ค.ศ. 1902 บริเตนยึดครองทั้งสองสาธารณรัฐ โดยบรรลุสนธิสัญญากับสองสาธารณรัฐบัวร์ให้หลังสงครามบัวร์ครั้งที่สอง (ค.ศ. 1899–1902)[120]

ใน ค.ศ. 1869 คลองสุเอซเปิดภายใต้นโปเลียนที่ 3 ซึ่งเชื่อมระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับมหาสมุทรอินเดีย เดิมบริเตนต่อต้านคลองสุเอซ[121] แต่เมื่อเปิดแล้ว คุณค่าทางยุทธศาสตร์ของคลองได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วและกลายเป็น "หลอดเลือดดำคอของจักรวรรดิ"[122] ใน ค.ศ. 1875 รัฐบาลพรรคอนุรักษนิยมนายกรัฐมนตรีเบนจามิน ดิสราเอลีซื้อหุ้นคลองสุเอซร้อยละ 44 เป็นจำนวนเงิน 4 ล้านปอนด์ (340 ล้านปอนด์ใน ค.ศ. 2013) จากผู้ปกครองอียิปต์ อิสมาอิล ปาชาซึ่งเป็นหนี้ แม้ว่าจำนวนหุ้นดังกล่าวไม่ได้ทำให้บริเตนได้ควบคุมเส้นทางน้ำยุทธศาสตร์นี้โดยสมบูรณ์ แต่ก็ทำให้บริเตนมีความได้เปรียบ การควบคุมทางการเงินร่วมกันของบริเตนและฝรั่งเศสเหนืออียิปต์ยุติลงเมื่อบริเตนยึดครองโดยสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1882[123] ฝรั่งเศสยังเป็นผู้ถือหุ้นเสียงข้างมากของคลองสุเอซและพยายามทำให้ฐานะของบริเตนอ่อนแอลง[124] แต่มีการบรรลุการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในอนุสัญญาคอนสแตนติโนเปิล ค.ศ. 1888 ทำให้คลองสุเอซเป็นดินแดนเป็นกลางอย่างเป็นทางการ[125]

เนื่องจากกิจกรรมของฝรั่งเศส เบลเยียมและโปรตุเกสในภูมิภาคแม่น้ำคองโกตอนล่างบ่อนทำลายการแทรกซึมแอฟริกาเขตร้อนอย่างเป็นระบบ การประชุมเบอร์ลิน ค.ศ. 1884-1885 จัดขึ้นเพื่อวางระเบียบการแข่งขันระหว่างอำนาจยุโรปในสิ่งที่เรียกว่า "ยุคล่าอาณานิคมในแอฟริกา" (Scramble for Africa) โดยนิยาม "การยึดครองอย่างมีประสิทธิภาพ" เป็นเกณฑ์การรับรองของนานาชาติต่อการอ้างสิทธิ์ดินแดน[126] ยุคล่าอาณานิคมดังกล่าวดำเนินไปจนคริสต์ทศวรรษ 1890 และทำให้บริเตนพิจารณาการตัดสินใจของตนใหม่ที่จะถอนตัวออกจากซูดานใน ค.ศ. 1885 กำลังร่วมบริเตนและอียิปต์สามารถพิชิตกองทัพมะซิซต์ใน ค.ศ. 1896 และขัดขวางความพยายามบุกครองฟาโชดาของฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1898 ซูดานกลายเป็นดินแดนใต้การปกครองร่วมอังกฤษ-อียิปต์ในนาม แต่ที่จริงเป็นอาณานิคมบริติช[127]

ดินแดนที่บริติชได้ในแอฟริกาใต้และแอฟริกาตะวันออกทำให้ซีซิล โรดส์ ผู้บุกเบิกการขยายตัวของบริติชในแอฟริกา กระตุ้นให้สร้างทางรถไฟ "แหลมถึงไคโร" เชื่อมคลองสุเอซอันมีความสำคัญยิ่งทางยุทธศาสตร์กับแอฟริกาใต้ซึ่งอุดมไปด้วยแร่[128] ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1880 และ 1890 โรดส์และบริษัทแอฟริกาใต้ของอังกฤษซึ่งเขาเป็นเจ้าของ ยึดครองและผนวกดินแดนซึ่งต่อมาได้ชื่อตามเขาว่า โรดีเซีย[129]

การเปลี่ยนสถานภาพของอาณานิคมผิวขาว

เส้นทางสู่อิสรภาพของอาณานิคมผิวขาวของจักรวรรดิบริติชเริ่มต้นขึ้นด้วยรายงานดูร์ฮัม ค.ศ. 1839 ซึ่งเสนอการสร้างเอกภาพและการปกครองตนเองสำหรับทั้งอัปเปอร์และโลวเออร์แคนาดา ซึ่งจะเป็นแนวทางแก้ไขความไม่สงบทางการเมืองในพื้นที่ได้[130] เหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มขึ้นจากการผ่านพระราชบัญญัติสหภาพในปี ค.ศ. 1840 ซึ่งได้ก่อตั้งจังหวัดแคนาดา ได้มีให้สิทธิ์รัฐบาลแห่งความรับผิดชอบแก่โนวาสโกเทียเป็นแห่งแรกในปี ค.ศ. 1848 และได้ขยายไปยังอาณานิคมอเมริกาเหนือของอังกฤษที่เหลืออย่างรวดเร็ว ในปี ค.ศ. 1867 อัปเปอร์และโลวเออร์แคนาดา นิวบรันสวิก และโนวาสโกเทียได้รวมเข้าด้วยกันเป็นอาณาจักรแคนาดา สมาพันธรัฐแห่งนี้มีสิทธิในการปกครองตนเอง ยกเว้นเพียงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเท่านั้น[131] ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ได้รับระดับการปกครองตนเองระดับเดียวกันหลังจาก ค.ศ. 1900 โดยอาณานิคมออสเตรเลียได้รวมเข้าด้วยกันเป็นสมาพันธรัฐใน ค.ศ. 1901[132] คำว่า "สถานภาพดินแดนในปกครอง" มีที่มาอย่างเป็นทางการจากการประชุมอาณานิคม ค.ศ. 1907 โดยหมายถึงแคนาดา นิวฟันด์แลนด์ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ใน ค.ศ. 1910 อาณานิคมเคป นาทัล ทรานสวัล และเสรีรัฐออเรนจ์ได้ถูกรวมเข้าด้วยกันเพื่อจัดตั้งสหภาพแอฟริกาใต้ ซึ่งได้รับสถานภาพดินแดนในปกครองเช่นเดียวกัน[133]

ทศวรรษสุดท้ายของคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีการรณรงค์ทางการเมืองอย่างพร้อมเพรียงกันของการปกครองตนเองไอริช ไอร์แลนด์ถูกรวมกับสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์โดยพระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1800 หลังจากการกบฏไอริช ค.ศ. 1798 และประสบทุพภิกขภัยรุนแรงระหว่าง ค.ศ. 1845 ถึง 1852 การปกครองตนเองได้รับการสนับสนุนจากนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร วิลเลียม แกลดสโตน ผู้ซึ่งหวังว่าไอร์แลนด์จะตามรอยของแคนาดาในการเป็นประเทศในเครือจักรภพภายในจักรวรรดิ แต่ร่างกฎหมายปกครองตนเอง ค.ศ. 1886 ของเขาไม่ผ่านรัฐสภา แม้ว่าหากร่างกฎหมาสยนี้ผ่านจะให้อัตตาณัติน้อยลงในสหราชอาณาจักรกว่าที่มณฑลของแคนาดามีในสหพันธรัฐของตน[134] สมาชิกรัฐสภาหลายคนเกรงว่าไอร์แลนด์ที่มีอำนาจอธิปไตยบางส่วนอาจเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของบริเตนใหญ่หรือเป็นจุดเริ่มต้นของการทำลายจักรวรรดิ[135] กฎหมายปกครองตนเองฉบับที่สองก็พ่ายแพ้ด้วยเหตุผลที่คล้ายกัน[135] กฎหมายปกครองตนเองฉบับที่สามได้ผ่านโดยรัฐสภาในปี ค.ศ. 1914 แต่มิได้นำออกมาบังคับใช้เนื่องจากการปะทุของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งนำไปสู่การก่อการกำเริบอีสเตอร์ใน ค.ศ. 1916[136]

ใกล้เคียง

จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี จักรวรรดิญี่ปุ่น จักรวรรดิบริติช จักรวรรดิออตโตมัน จักรวรรดิมองโกล จักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ จักรวรรดิโรมัน จักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล: เฟสสอง จักรวรรดิรัสเซีย

แหล่งที่มา

WikiPedia: จักรวรรดิบริติช http://www.ualberta.ca/~janes/EMPIRE.html http://www.amazon.com/Ending-East-Suez-Historical-... http://www.engelsklenker.com/british_empire_histor... http://www.mfa.gov.eg/MFA_Portal/en-GB/Foreign_Pol... http://www.nzhistory.net.nz/politics/treaty/waitan... http://www.cambridge.org/gb/knowledge/isbn/item648... //doi.org/10.1017%2FS0018246X00026698 //doi.org/10.2307%2F2051326 //www.jstor.org/stable/2637986 http://thecommonwealth.org/about-us